วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การสอน Present Simple Tense ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1

Present Simple Tense

                      โครงสร้างประโยค  คือ   Subject + Verb 1
        
          ใช้กับเหตุการณ์
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นความจริงตลอดไปหรือเป็นความจริงตามธรรมชาติ เช่น 
The sun rises in the east.( พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก )            .                                              
  Fire is hot. 
ไฟร้อน )
             2. ใช้กับการกระทำที่ทำจนเป็นนิสัย มักจะมีกลุ่มคำที่มีความหมายว่า เสมอๆ บ่อยๆ ทุกๆ อยู่ด้วย เช่น               
I get up at six o’clock everyday. 
ฉันตื่นนอนเวลา นาฬิกาทุกวัน )                                                                           
หลักการจำและนำไปใช้
             1.  ประธาน  He, She, It  หรือ 1 เดียวเท่านั้น ต้องเติม หรือ es  ท้ายคำกริยาด้วย มีกริยาช่วย คือ does 
                2.  ประธาน I, You, We, They, หรือ 2 ขึ้นไป กริยาเหมือนเดิม มีกริยาช่วย คือ  do
   3.  do และ does  ใช้ในประโยค คำถามและปฏิเสธ
   4.  ในประโยคมีคือ does กริยาไม่ต้องเติม s / es

ชนิดของประโยค
    1. ประโยคบอกเล่า =   Subject + Verb1 + (Object).   เช่น

                 She likes English .
                 Jack plays football everyday.
                 I like Thai .   
                 Jack and his friends play football everyday.

     2. ประโยคคำถาม
         2.1  Yes/No question
               ใช้  Do, Does + ประธาน + กริยา ?  

                 Does she like English? 
               Does Jack play football everyday?                 
                 Do you like Thai?
                 Do Jack and his friends play football everyday?

            การตอบแบบ Short answer  
               Yes, he/she/it does.
                 No, he/she/it doesn’t.

                 Yes, I/you/we/they do.
                 No, I/you/we/they don’t.
        
2.2   ใช้ Question words 
       (What/ Where/ When / Why/ ……+ do/does + ประธาน + กริยา…….?) เช่น
          
           What do you eat for lunch?       I eat noodles.
                      Where does Jim go Mondays?   He goes to school. 
                                   How do they go to school?         They go to school by school bus.


     3. ประโยคปฏิเสธ ใช้ do not (don’t), does not (doesn’t) ตามด้วยคำกริยาแท้รูปเดิม           I don’t like Thai.                                                                                                                                                                                                    
         She 
doesn’t like English.                                                                               
         Jack 
doesn’t play football everyday.         
                                                                                   
หลักการเติม s ที่คำกริยา
1.กริยาที่ลงท้ายด้วย o, s, x, chssและ sh,  ให้เติม es เช่น
        pass - passes = ผ่าน       brush - brushes = แปรงฟัน    catch - catches = จับ                             
go - goes = 
ไป               
box - boxes = 
ชก
2.กริยาที่ลงท้ายด้วย และหน้า y ไม่ใช่  a e i o u ให้เปลี่ยน เป็น i แล้วเติม es
       study studies เรียน,          cry - cries = ร้องไห้,         fry - fries = ทอด    
3. กริยาที่นอกเหนือจากที่ไม่เข้ากฎในข้อ และ ข้อ ให้เติม ได้เลย

Adverb of Frequency  ใช้ขยายคำกริยา เพื่อบอกถึงความถี่ของการกระทำ และจะวางไว้หน้าคำกริยานั้นๆด้วย ยกเว้น sometimes อยู่ ต้นประโยคก็ได้ เช่น
                 always    สม่ำเสมอ 100 %           usually    เป็นประจำ 80 %     often       บ่อยๆ 60 %
           sometimes    บางครั้งบางคราว 30 %   seldom    นานๆครั้ง 10 %       never     ไม่เคย 0 %

Examples:
      Sandy always goes to school early.
      Mary usually cooks dinner.
      We often drink milk.
      I never go to London.
                         Sometimes I eat pizza for lunch.
  

Present Simple Tense
Choose the correct answer.
  1. She ___ four languages.
    a. speak
    b. speaks

     
  2. Jane is a teacher. She ___ French.
    a. teach
    b. teaches

     
  3. When the kettle ___, will you make some tea?
    a. boil
    b. boils

     
  4. I always ___ the window at night because it is cold.
    a. close
    b. closes

     
  5. Those shoes ___ too much.
    a. cost
    b. costs

     
  6. The food in Japan is expensive. It ___ a lot to live there.
    a. cost
    b. costs

     
  7. His job is great because he ___ a lot of people.
    a. meet
    b. meets

     
  8. He always ___ his car on Sundays.
    a. wash
    b. washes

     
  9. My watch is broken and it ___ to be fixed again.
    a. need
    b. needs

     
  10. I ___ to watch movies.
    a. love
    b. loves

     
  11. I ___ to the cinema at least once a week.
    a. go
    b. goes

     
  12. They never ___ tea in the morning.
    a. drink
    b. drinks

     
  13. We both ___ to the radio in the morning.
    a. listen
    b. listens

     
  14. He ___ a big wedding.
    a. want
    b. wants

     
  15. George ___ too much so he's getting fat.
    a. eat
    b. eats

     
  16. The earth ___ round the sun, doesn't it?
    a. go
    b. goes

     
  17. The shops in England ___ at 9:00 in the morning.
    a. open
    b. opens

     
  18. The post office ___ at 5:30 pm.
    a. close
    b. closes

     
  19. Jackie ___ two children now.
    a. has
    b. have

     
  20. Mr. Smith ___ too much. He always has a cigarette in his mouth.
    a. smoke
    b. smokes

Ans. 1. b 2. b 3. b 4. b 5. a 6. b 7. b 8. b 9. b 10. a 11. a 12. a 13. a 14. b 15. b 
       16. b 17. a 18. b 19. a      20. b

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Exercise Present Simple Tense

Present Simple Tense
Choose the correct answer.
  1. She ___ four languages.
    a. speak
    b. speaks

     
  2. Jane is a teacher. She ___ French.
    a. teach
    b. teaches

     
  3. When the kettle ___, will you make some tea?
    a. boil
    b. boils

     
  4. I always ___ the window at night because it is cold.
    a. close
    b. closes

     
  5. Those shoes ___ too much.
    a. cost
    b. costs

     
  6. The food in Japan is expensive. It ___ a lot to live there.
    a. cost
    b. costs

     
  7. His job is great because he ___ a lot of people.
    a. meet
    b. meets

     
  8. He always ___ his car on Sundays.
    a. wash
    b. washes

     
  9. My watch is broken and it ___ to be fixed again.
    a. need
    b. needs

     
  10. I ___ to watch movies.
    a. love
    b. loves

     
  11. I ___ to the cinema at least once a week.
    a. go
    b. goes

     
  12. They never ___ tea in the morning.
    a. drink
    b. drinks

     
  13. We both ___ to the radio in the morning.
    a. listen
    b. listens

     
  14. He ___ a big wedding.
    a. want
    b. wants

     
  15. George ___ too much so he's getting fat.
    a. eat
    b. eats

     
  16. The earth ___ round the sun, doesn't it?
    a. go
    b. goes

     
  17. The shops in England ___ at 9:00 in the morning.
    a. open
    b. opens

     
  18. The post office ___ at 5:30 pm.
    a. close
    b. closes

     
  19. Jackie ___ two children now.
    a. has
    b. have

     
  20. Mr. Smith ___ too much. He always has a cigarette in his mouth.
    a. smoke
    b. smokes

Ans. 1. b 2. b 3. b 4. b 5. a 6. b 7. b 8. b 9. b 10. a 11. a 12. a 13. a 14. b 15. b 16. b 17. a 18. b 19. a      20. b

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สุภาษิตภาษาอังกฤษ (English Proverb)

“Beauty without grace is a violet without smell.”

สวยแต่รูป จูบไม่หอม

ความหมาย: ความงามที่ขาดคุณความดี ไมต่างอะไรจากดอกไม้งามไม่มีกลิ่น
 
Description: It is better to be graceful than to be pretty.

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

About health

สุภาษิตภาษาอังกฤษ (Proverb)

 “A bad penny always comes back.”

ขว้างงู งูไม่พ้นคอ

ความหมาย: สิ่งไม่ดีที่เราพยายามกำจัด มักจะหวนกลับมาหาเราอีก
 
Description: If we try to get rid of a counterfeit coin by passing it off upon somebody else, sooner or later it will find the way back into our pocket. Figuratively a bad penny is a ne’er-do-all-well, the black sheep of the family. We use the proverb in reference to a young man who leaves home in disgrace and returns there after a long absence in the hope that all is forgiven.
 

เรียนภาษาอังกฤษด้วยการดูหนัง

วิธีการฝึกภาษาอังกฤษด้วยการดูหนัง

วิธีการฝึกภาษาอังกฤษด้วยการดูหนัง

วิธีการฝึกภาษาอังกฤษด้วยการดูหนัง

 
หลายคนคงรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเรียนภาษาอังกฤษด้วยการท่องจำ และก็คงอยากที่จะหาวิธีอื่นๆมาใช้ในการฝึกฝนกัน หนึ่งในวิธียอดฮิตที่หลายคนใช้เพื่อฝึกทักษะภาษาอังกฤษด้านต่างๆ ก็คือ การดูหนังหรือซีรีส์ฝรั่งต่าง ลองมาดูกันดีกว่าว่าเราสามารถที่จะฝึกภาษาอังกฤษควบคู่ไปกับการดูหนังเหล่านี้ได้อย่างไร
 
ประเภทของหนังที่แนะนำให้เลือกในการฝึกเบื้องต้น ได้แก่ หนัง Romantic, หนัง Comedy, Animation และ หนังสำหรับวัยรุ่นต่างๆ
 
สิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การฝึกพูดตามตัวละครทุกๆรอบที่ดูโดยอาจพยายามเลียนแบบ Accent ของตัวละครนั้นๆ พร้อมกับจดคำศัพท์หรือประโยคต่างๆที่เราไม่เคยเจอ หรือแปลไม่ออก เพื่อมาหาความหมายทีหลัง
 
วิธีที่ 1 ดูหนัง Thai Subtitle ตามด้วย English Subtitle แล้วดู No Subtitle

คำถามที่ควรตั้งให้กับตัวเอง จะรู้สึกเบื่อที่จะดูหนังซ้ำไปซ้ำมาหรือเปล่า?
 
เวลาที่ใช้ในการฝึก 6-8 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความยาวของหนัง)
 
วิธีฝึกให้ได้ผล วิธีนี้คงเป็นวิธีที่ทุกคนคงเคยได้รับคำแนะนำมาเพื่อใช้ฝึกภาษาอังกฤษอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยได้ทำตามเลยแม้สักครั้ง เนื่องจากต้องมีเวลาจริงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่จำเป็นต้องดูหนังทั้งหมดนี้ให้จบในวันเดียวกัน แต่สามารถแบ่งไปดูวันอื่นๆก็ได้
 
วิธีที่ 2 อ่าน Plot หรือ ดูตัวอย่างหนัง ตามด้วย English Subtitle
 
คำถามที่ควรตั้งให้กับตัวเอง จะรู้สึกอย่างไรหากต้องดูหนังแล้วไม่สามารถเข้าถึงแก่นที่แท้จริงของหนังได้?
 
เวลาที่ใช้ในการฝึก 2-3 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความยาวของหนัง)
 
วิธีฝึกให้ได้ผล วิธีนี้อาจจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายสำหรับใครบางคน เนื่องจากคิดว่าดูหนังไม่รู้เรื่องแน่ๆ แต่ถ้าลองคิดดูดีๆแล้ว วิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้เนื่องจากประหยัดเวลา และนอกจากนั้นการดูหนังแบบนี้ยังช่วยให้เราสร้างความหมายของคำศัพท์ต่างๆมาด้วยตัวเอง และไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่ความหมายของประโยคและคำต่างๆที่ผู้แปลเรียบเรียงขึ้นมา แต่ข้อเสียก็อาจจะเป็น การที่ดูหนังจบแล้ว แต่ไม่รู้เรื่องสักเท่าไร จึงแนะนำวิธีนี้สำหรับคนที่มีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่ใครที่ไม่มีเวลาหรืออยากที่จะมีความรู้สึกเดียวกับการที่เราต้องไปอยู่ท่ามกลางฝรั่ง วิธีนี้ก็คงเป็นตัวเลือกที่ดีในการมองหาจุดบกพร่องของเรา
 
วิธีที่ 3 ดูหนัง No Subtitle ตามด้วย English Subtitle
 
คำถามที่ควรตั้งให้กับตัวเอง จะรู้สึกอย่างไรถ้าหากดูหนังแล้วไม่มีความสนุกเลย?
 
เวลาที่ใช้ในการฝึก 4-6 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความยาวของหนัง)
 
วิธีฝึกให้ได้ผล วิธีนี้จะมีความคล้ายคลึงกับวิธีที่ 2 เพียงแต่วิธีนี้จะเน้นไปถึงการทำความเข้าใจถึงส่วนต่างๆของเรื่องที่เราไม่สามารถจับใจความได้ โดยการดูรอบแรกเป็นเพียงการทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่องว่าเป็นไปในลักษณะใด และพยายามที่จะฟังประโยคต่างๆให้ออกเท่านั้น โดยรอบที่สองนั้น เราจะต้องพยายามอ่าน subtitle ให้หมด เพื่อดูว่าประโยคต่างๆนั้นเป็นไปตามที่เราฟังหรือไม่
 
วิธีที่ 4 ดูหนัง Thai Subtitle
 
คำถามที่ควรตั้งให้กับตัวเอง จะสามารถบังคับตัวเองไม่ให้ดู Subtitle มากน้อยเพียงใด?
 
เวลาที่ใช้ในการฝึก 2-3 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความยาวของหนัง)
 
วิธีฝึกให้ได้ผล ใครที่เป็นคอหนังตัวจริงแล้ว คงจะต้องอยากรู้ถึงวิธีการฝึกภาษาอังกฤษไปกับการดูหนัง Thai Subtitle นี้อย่างแน่นอน นั่นก็เป็นเพราะว่า เราจะต้องพบกับหนัง Thai Subtitle ทุกครั้งที่เราไปดูหนังในโรง แต่ประสิทธิภาพในการฝึกภาษาอังกฤษด้วยการดูหนังชนิดนี้นั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร นั่นก็เป็นเพราะ สิ่งที่เราได้รับมาคือคำแปลจากผู้บรรยาย ไม่ใช่คำแปลที่ผ่านจากกระบวนความคิดของเรา แต่ยังไงก็ตามยังมีวิธีที่จะทำให้การดูหนังประเภทนี้ช่วยเราในการฝึกภาษาอังกฤษได้บ้าง ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ แต่ทำได้ยาก นั่นก็คือ “การพยายามไม่ดู subtitle” โดยจะดูก็ต่อเมื่อฟังไม่รู้เรื่องเท่านั้น เช่น ไม่มอง subtitle เมื่อเป็นฉากที่ตัวละครพูดค่อนข้างช้า หรือ อาจจะเป็นฉากที่เด็กหรือคนสูงวัยพูด ก็ได้ โดยสิ่งสำคัญในการฝึกคือ ต้องอดทนและกลั้นใจไม่มอง subtitle นั่นเอง อย่างไรก็ตาม อยากให้เลือกดูหนัง Thai Subtitle เป็นตัวเลือกสุดท้ายในการฝึกภาษาอังกฤษ เนื่องจากเป็นวิธีที่ได้ผลน้อยที่สุด
 
สำหรับสิ่งที่จะได้เรียนรู้จากการดูหนังด้วยวิธีต่างๆเหล่านี้ก็ได้แก่ ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน, คำศัพท์ Slang และ Technical Terms, ทักษะการฟัง (Listening skills), ความคุ้นเคยกับสำเนียงต่างๆ, หลักการใช้ Grammar และ Tenses ต่างๆ และอื่นๆ โดยเราจะได้ความรู้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่า มีความอดทนและความพยายามมากน้อยเพียงใด